วิทยานิพนธ์ (Thesis) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) ทางวิชาการที่มีการไตร่ตรองและวางแผนวิทยานิพนธ์ (Thesis) (Thesis) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) อย่างมีรูปแบบ โดยผู้จัดทำวิทยานิพนธ์ (Thesis) จะทำการรวบรวมข้อมูลและทฤษฎีเก่าๆนำมาวิเคราะห์ โดยใช้หลักเหตุและผล และข้อมูลที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุนความรู้ใหม่ของนักวิจัยอย่างมีเทคนิคและทักษะของการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ ดุษฏีนิพนธ์ (Dissertation) หรือ อีกอย่างก็คือการค้นคว้าอย่างอิสระ ความหมายของมันก็ตรงตามชื่อเลย คือการค้นคว้าหาความรู้ แบบไม่จำกัดรูปแบบ ของการศึกษานั้นๆ ซึ่งวิธีการจะเป็นการค้นคว้าหาความรู้ เนื้อหาสาระที่ผ่านการวิจัยต่างๆ นำมาสรุปใหม่ภายใต้หัวข้อเดียวกัน แต่มีเนื้อหาและความเข้าใจที่แตกต่างกัน ทำให้ง่ายต่อการศึกษา
หลักการเขียนดุษฏีนิพนธ์ (Dissertation) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) จำเป็นที่จะต้องมีการเขียนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถศึกษาเข้าถึงและทำความเข้าใจได้สะดวกรวดเร็วซึ่งหลักการเขียนที่ดีมีคุณภาพต้องมีองค์ประกอบในส่วนสำคัญ คือ ชื่อเรื่อง การเขียนชื่อเรื่องจำเป็นต้องมีชื่อเรื่องที่กระชับไม่คลุมเครือเห็นแล้วเข้าใจได้ทันทีที่สำคัญควรมีการบรรยายทั้งเวอร์ชั่นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ชี้ถึงวัตถุประสงค์ของการทำวิจัยอย่างชัดเจนกล่าวถึงเป้าหมาย ที่ต้องการจะทำดุษฏีนิพนธ์ (Dissertation) และอธิบายเนื้อหาว่าจะนำไปสู่จุดใดความเป็นมารวมถึงความสำคัญของปัญหาชี้ให้ผู้อ่านเห็นถึงประเด็นคำถามหรือปัญหาที่เกิดขึ้น ก่อนจะเริ่มการศึกษาหาคำตอบ รวมถึงการเสนอแนวคิดและทฤษฎีเบื้องต้นที่จะนำมาใช้ตอบคำถามเหล่านั้นตามขอบเขตการวิจัย
วิทยานิพนธ์ (Thesis) เป็นงานเขียนวิชาการที่นักศึกษาทุกคนโดยเฉพาะในระดับปริญญาโทและเอกต้องจัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการจบการศึกษาและรับประกาศนียบัตร เพื่อเป็นเกียรติคุณและ เป็นไปเบิกทางในสายอาชีพต่างๆ ที่ตนเองสนใจในอนาคต แต่ในอีกมุมหนึ่ง วิทยานิพนธ์ (Thesis) เป็นหลักฐานส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการยืนยันว่านักศึกษาท่านนั้นๆได้มีความเข้าใจในบทเรียน เนื้อหาและทฤษฎีต่างๆที่ได้ทำการศึกษาในสาขาวิชานั้นๆที่ได้ลงทะเบียนเรียน การทำวิทยานิพนธ์ (Thesis) เปรียบเสมือนวิทยานิพนธ์ (Thesis) (Thesis) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) ที่ น.ศ. ต้องทำการค้นคว้าหาข้อมูลในเรื่องที่ตัวเองสนใจ เพื่อเป็นการหาคำตอบของคำถามในวิทยานิพนธ์ (Thesis) (Thesis) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) โดยใช้หลักเหตุและผล และข้อมูลในการสนับสนุนหรือยืนยันทฤษฎีที่ตนเองได้กล่าวสรุปในวิทยานิพนธ์ (Thesis) (Thesis) หรือดุษฏีนิพนธ์ (Dissertation) โดยหลักๆ นศ. ที่จัดทำวิทยานิพนธ์ (Thesis) จะต้องทำการค้นคว้าหาข้อมูลเดิม หรือที่เรียกว่าทบทวนวรรณกรรมเก่าๆ เกี่ยวกับเรื่องที่ตนเองสนใจที่ได้มีการจัดทำไว้ในวิทยานิพนธ์ (Thesis) ของนักวิจัยท่านอื่นๆแล้ว เพื่อเป็นการศึกษาเบื้องหลังของเรื่องที่สนใจ และตั้งสมมติฐานที่น่าจะเกิดกับวิทยานิพนธ์ (Thesis) (Thesis) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS)
การอธิบายถึงวิทยานิพนธ์ (Thesis) (Thesis) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) ที่จะทำว่า ต้องการศึกษาเนื้อหาข้อมูลที่อยู่ภายในขอบเขตระดับไหน และต้องระบุเกณฑ์มาตรฐานขอบเขตจำนวนทั้งกลุ่ม, ประชากรตัวอย่างที่จะใช้ในการศึกษา รวมถึงเขตตัวแปรในการวิจัย ตัวแปรอิสระ และ ตัวแปรตามกรอบแนวคิดในการวิจัยเป็นการอธิบายบอกกล่าวถึง เกณฑ์มาตรฐานการเขียนตัวแปรแต่ละตัวที่เลือกศึกษา ซึ่งมีพื้นฐานเชิงทฤษฎีอ้างอิงหรือยืนยันว่า เนื้อหานั้นมีความสัมพันธ์กับสิ่งที่ต้องการศึกษา มีเนื้อหาสาระที่ตรงจุดและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย การเขียนปัญหาที่ต้องการทราบหรือต้องการตอบอธิบายถึงปัญหาที่ผู้วิจัยต้องการจะศึกษาหาคำตอบ มาอธิบายให้ผู้ศึกษารับทราบเพื่อให้ผู้ศึกษาได้แจ้งต่อข้อสงสัยได้อย่างตรงจุด
สมมติฐานการวิจัย คือเกณฑ์มาตรฐานของคำตอบที่จะใช้แก้ไขปัญหาการวิจัยซึ่งเป็นการคิดแบบคร่าว ๆ ล่วงหน้า หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นการคาดการณ์คำตอบ ว่าสิ่งที่วิจัยอาจจะต้องเป็นแบบนั้นหรืออย่างน้อยก็อาจจะมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และยังต้องมีความสอดคล้องกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม รวมถึงการมีหลักฐานเบื้องต้นและแนวคิดทฤษฎีมาอ้างอิงด้วย ฉะนั้น ดุษฏีนิพนธ์ (Dissertation) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) กับวิทยานิพนธ์ (Thesis) นั้นมีความแตกต่างกันในเรื่องของแนวคิด (Concept) และ ตัวแปร (Variable) ที่ใช้ในการวิเคราะห์ การทำงานดุษฏีนิพนธ์ (Dissertation) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) จะศึกษาแนวคิด (Concept) หรือตัวแปร (Variable) ที่มักจะมีตัวแปรต้น 2 ตัวแปร หรือตัวแปรตาม 1 ตัวแปร ให้เหมาะกับการใช้สถิติ หรือการวิเคราะห์อย่างง่ายและงานวิทยานิพนธ์ (Thesis) นั้นจะศึกษาแนวคิดความสัมพันธ์เชิงเหตุผล (Causal Relationship) และมีจำนวนตัวแปรที่มากกว่าดุษฏีนิพนธ์ (Dissertation) ซึ่งมักจะมี 4-5 ตัวแปรขึ้นไป และจะมีการใช้สถิติที่ซับซ้อนในการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น T-test independent และหรือ F-test
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ หรือการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) นั้น จะมีความเข้มข้นของความถูกต้อง (Validity) และความเชื่อมั่น (Reliability) ที่แตกต่างกัน ความเข้มข้นในการตั้งโจทย์คำถามการวิจัย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำในขั้นตอนของกระบวการวิเคราะห์งานวิทยานิพนธ์ (Thesis) ผลลัพธ์ที่ได้จะต้องมีความสอดคล้องงกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย ฉะนั้นในการตั้งโจทย์หรือคำถามการวิจัย (Research Question) เพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นจะต้องมีความถูกต้องเหมาะสม คำถามที่ตั้งควรเป็นคำถามที่เฉพาะเจาะจง เพราะการทำงานนิพนธ์คือการหาคำตอบเพื่อใช้ในการคำถามการวิจัยในประเด็นหัวข้อปัญหาที่ได้ตั้งไว้ให้ครบถ้วน หากตั้งคำถามในการวิจัยไม่ชัดเจนหรือมากเกินไป คำตอบที่ได้รับอาจจะไม่ชัดเจนหรือหลาดเคลื่อนได้เช่นกัน อีกทั้งคำถามที่ตั้งนั้นจะต้องมีความสอดคล้องและเหมาะสมกับเครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลการวิจัย ซึ่งเครื่องมือที่นิยมใช้ส่วนใหญ่จะมี 2 ประเภท คือ การเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามในการวัดผล คือมาตรประมาณค่า (Rating Scale) และการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ ส่วนใหญ่จะใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ (Interview Form) เพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูล ดังนั้นการตั้งโจทย์หรือคำถามการวิจัยสำหรับการเก็บข้อมูลงานวิทยานิพนธ์ (Thesis) จึงมีความเข้มข้นกว่างานสานิพนธ์ หรือการทำ IS เป็นอย่างมาก เพื่อให้ผลการวิเคราะห์ที่ได้ทำการศึกษานั้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้สำหรับการแก้ไขปัญหาได้จริง
ประสบการณ์ที่ได้รับจากการศึกษาที่แตกต่างกัน หากคุณต้องการศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก คุณควรจะเลือกทำงานวิทยานิพนธ์ (Thesis) เพราะกระบวนการศึกษางานวิทยานิพนธ์ (Thesis) มีขั้นตอนที่ซับซ้อน ต้องค้นคว้าข้อมูลเพื่อใช้ในการสนับสนุนเนื้อหางานที่แน่นหนา ทำให้ผู้ศึกษามีความรู้เพิ่มพูนมากขึ้นเป็นที่ยอมรับทางวิชาการ จึงทำให้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกได้ง่ายกว่า เพราะกระบวนการในการศึกษาค้นคว้าดุษฏีนิพนธ์ (Dissertation) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) นั้นไม่ไม่ซับซ้อนและยุ่งยาก ทำให้จบง่าย แต่จะทำให้ผู้ศึกษาไม่ได้รับประสบการณ์ในการศึกษาวิทยานิพนธ์ (Thesis) (Thesis) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) ที่เต็มที่ และอาจไม่ได้รับการยอมรับ หากต้องทำหน้าในที่ทางวิชาการ ดังนั้น ดุษฏีนิพนธ์ (Dissertation) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) กับวิทยานิพนธ์ (Thesis) แตกต่างกันอย่างเป็นได้ชัดคือ หลักการของการทำงานดุษฏีนิพนธ์ (Dissertation) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) ดุษฏีนิพนธ์ (Dissertation) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) จะมีเฉพาะในบางสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อในหลักสูตรต่างๆ และจะต้องทำการศึกษาที่มีคุณภาพและมาตรฐานทางวิชาการเช่นเดียวการทำงานวิทยานิพนธ์ (Thesis) ซึ่งอาจจะมีกระบวนการในการศึกษาวิจัยที่ไม่ซับซ้อนหรือเข้มข้นเท่ากับการทำงานวิทยานิพนธ์ (Thesis) แม้ความเข้มข้นในกระบวนการวิจัยจะแตกต่างกัน แต่มุ่งเน้นไปคำตอบของการวิจัยที่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการทำงานได้ตามที่กำหนดไว้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ความแม่นยำและถูกต้องของการหาคำตอบให้กับสมมติฐานที่ตั้งไว้นั้น หลักๆจะขึ้นอยู่กับการเลือกเครื่องมือและวิธีวิจัยของผู้จัดทำวิทยานิพนธ์ (Thesis) เล่มนั้นๆ ผลลัพธ์ของการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ จะออกมาในรูปแบบการยืนยันหรือขัดแย้งกับสมมติฐาน หรือทฤษฎีที่นักวิจัยท่านอื่นได้เคยกล่าวไว้แล้ว ทั้งนี้และทั้งนั้นความสอดคล้องหรือขัดแย้งของทฤษฎีในการทำวิทยานิพนธ์ (Thesis) จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายส่วน อาทิสถานที่ทำวิจัย กลุ่มตัวอย่าง วิธีการวิจัย และพื้นฐานความรู้ของผู้จัดทำวิทยานิพนธ์ (Thesis) โดยเฉพาะในกรณีวิทยานิพนธ์ (Thesis) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) เชิงคุณภาพ ควรจะคำนึงถึงบทสรุปที่ให้ความรู้ใหม่ๆข้อคิดและคำแนะนำที่มีประโยชน์ต่อตลาดนั้นๆ รวมทั้งควรจะมีคำแนะนำที่มีคุณค่าสำหรับนักวิจัยท่านอื่นๆที่สนใจจะศึกษางานวิทยานิพนธ์ (Thesis) เพื่อนำไปต่อยอด เพื่อเป็นการเพิ่มประโยชน์และความรู้ให้แก่วงการวิชาการและบุคคลทั่วไปต่อไป
สรุปได้ว่างานวิทยานิพนธ์ (Thesis) ก็คือวิทยานิพนธ์ (Thesis) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) ทางวิชาการที่มีการไตร่ตรองและวางแผนวิทยานิพนธ์ (Thesis) (Thesis) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) อย่างมีรูปแบบ โดยผู้จัดทำวิทยานิพนธ์ (Thesis) จะทำการรวบรวมข้อมูลและทฤษฎีเก่าๆนำมาวิเคราะห์ โดยใช้หลักเหตุและผล และข้อมูลที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุนความรู้ใหม่ของนักวิจัยอย่างมีเทคนิคและทักษะของการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ IS หรือ ดุษฏีนิพนธ์ (Dissertation) หรือ อีกอย่างก็คือการค้นคว้าอย่างอิสระ ความหมายของมันก็ตรงตามชื่อเลย คือการค้นคว้าหาความรู้ แบบไม่จำกัดรูปแบบ ของการศึกษานั้นๆ ซึ่งวิธีการจะเป็นการค้นคว้าหาความรู้ เนื้อหาสาระที่ผ่านการวิจัยต่างๆ นำมาสรุปใหม่ภายใต้หัวข้อเดียวกัน แต่มีเนื้อหาและความเข้าใจที่แตกต่างกัน ทำให้ง่ายต่อการศึกษาหลักการเขียนดุษฏีนิพนธ์ (Dissertation) หรือการค้นคว้าอิสระ (IS) จำเป็นที่จะต้องมีการเขียนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถศึกษาเข้าถึงและทำความเข้าใจได้สะดวกรวดเร็วซึ่งหลักการเขียนที่ดีมีคุณภาพต้องมีองค์ประกอบในส่วนสำคัญ คือ ชื่อเรื่อง การเขียนชื่อเรื่องจำเป็นต้องมีชื่อเรื่องที่กระชับไม่คลุมเครือเห็นแล้วเข้าใจได้ทันทีที่สำคัญควรมีการบรรยายทั้งเวอร์ชั่นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ